วันพุธที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2556

..อดีต.. Episode 2

      บรรยากาศในสถานีรถไฟใต้ดินร้างอันอึมครึม รางรถไฟเก่าสนิมเกรอะกรังฝุ่นขาวเกาะจับไม้หมอน..มันหนาจนไม้เห็นเสี้ยนไม้ ยังดีที่มีโคมไฟเพดานติด ๆ ดับ ๆ อยู่บ้าง ผมมองไม่เห็นเงาของสิ่งมีชีวิตในสถานที่นี้ ทุก ๆ ย่างก้าวมักมีฝุ่นฟุ้งติดปลายรองเท้าเสมอ ผมเดินไปเรื่อย ๆ ด้วยความไม่เข้าใจในการกระทำ

      ผมเดินมาหยุดตรงสุดผนังก่ออิฐแดงเปลือยเก่ากร่อน ในตอนนั้นผมนึกอยากโดดลงไปเดินบนรางรถไฟ แต่ก็ไม่ได้ทำเพราะเหลือบไปเห็นประตูสีขาวบานเก่าซ้ายมือ ผมชั่งใจเลือกระหว่างรางรถไฟกับประตูบานเก่านั้นอยู่ครู่ใหญ่..

      แว่บหนึ่งในความคิด ผมจำได้ราง ๆ ว่าผมเคยเห็นประตูนี้มาแล้ว..ผมนึกไม่ออกว่าเมื่อใด แล้วผมมาที่นี่ได้ยังไง บรรยากาศรอบ ๆ มันช่างคุ้นตา รอยกระเบื้องบิ่นตรงขอบชานชาราตรงนั้นผมก็จำได้..ใช่แล้ว ผมต้องเคยมาที่นี่แล้ว" ผมนึกในใจ

      ลูกบิดทองเหลืองยังเหลือรอยมือของผม แสงไฟเริ่มกระพริบถี่..ผมรู้ว่ามันจะดับในอีกไม่กี่วินาที "ผมรู้ได้ยังไง ??" ผมจำเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้จำได้เพียงราง ๆ ในหัวผมตื้อไปหมด ไฟก็กระพริบถี่ขึ้นเรื่อย ๆ

     ผมยืนหลับตานึกเรื่องราวครั้งก่อนอยู่ตรงหน้าประตู แสงไฟที่ลอดออกมาจากใต้ประตูทำให้ผมคิดว่ามันคงดีกว่าอยู่ในความมืดซึ่งจะเกิดขึ้นในไม่ช้า "เอาวะ เป็นไงเป็นกัน" ผมตัดสินใจเอื้อมมือไปจับลูกบิดประตู

     "เฮ๊ย !! อย่าเปิดนะ นั่นมันเป็นประตูไปสู่ความตาย" เสียงตะโกนดังลั่นมาจากด้านหลัง มันดังมากเหมือนตะโกนอยู่ใกล้หลังใบหู..ผมรีบหันไปทางต้นเสียง..ขณะมือกำลูกบิดประตูแน่นด้วยความตกใจ

      เบื้องหน้านั้น เป็นชายแก่ผมสีดอกเลาปลิวไสว เสื้อและกางเกงสีขาวเก่าพลิ้วตามแรงลม..ผมเห็นเพียงแค่นั้น !! แล้วแสงไฟในชานชาราก็ดับลง..

      "ปู๊นนนนน" เสียงหวูดดังยาวทำให้ ดร.พนา พนาไกร ด๊อกเตอร์หนุ่มจาก M.I.T. ผวาทะลึ่งพรวดลุกจากที่นอนบนเตียงเหล็กสองชั้น "เฮ๊ย เป็นบ้าอะไรวะไอ้หนุ่ม" เสียงชายวัยกลางคนซึ่งนอนอยู่บนเตียงชั้นสองตกใจจนเกือบตกเตียง

      แสงแดดจ้าลอดผ่านชายม่านสาดผนังนอนเหล็ก ดร.พนาขยี้ตาก่อนใส่แว่นมองไปรอบ ๆ ห้อง..ภาพบรรยากาศเปลี่ยนไปจากเมื่อสักครู่ "ขอโทษครับน้าเหนาะ" ดร.หนุ่มเอ่ยแบบงง ๆ

      "คุณเล่นละเมอโวยวายตลอดทั้งคืน จนผมนอนไม่หลับเลยครับ" อารมณ์น้าเหนาะเริ่มเข้าที่เข้าทาง แกตอบพร้อมหาวอ้าปากกว้าง พลางล้วงมือเกาพุงกลมใต้เสื้อกล้ามบาง ๆ

      ดร.พนาชันตัวนั่งทบทวนเหตุการณ์ "เออแฮะ เราฝันไปนี่หว่า !!" เขายังนึกแปลกใจเมื่อฝันถึงเรื่องเดียวกันถึงสามครั้งในชั่วข้ามคืน

      ดร.พนายกข้อมือดูเวลา "เฮ๊ย แปดโมงกว่าแล้ว" ไม่มีเวลาแล้ว..เขารีบคว้าเสื้อเชิ้ตข้างเตียงแล้วลุกขึ้นกระโดดพรวดออกนอกห้องไป ผ้าห่มผืนบางปลิวลงไปกองอยู่บนพื้น ส่วนน้าเหนาะทิ้งตัวลงคลุมโปงนอนคุ้ดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มต่อ

      ลมแรงประทะใบหน้า เสื้อเชิ้ตไม่ได้ติดกระดุมสะบัดพลิ้วตามแรงลม ดร.พนาขยับแว่นสายตา สองมือเกาะราวเหล็กข้างกราบเรือ ชะโงกหน้าเพ่งมองแผ่นดินไกลลิบเห็นเป็นเงารางผ่านหัวเรือบรรทุกสินค้าเก่า ๆ ขนาดใหญ่ "อีกครึ่งวันก็ถึงเมืองไทยแล้วครับ" เสียงกัปตันตะโกนผ่านหน้าต่างสะพานเดินเรือ

      ดร.พนาหันไปยิ้มให้กัปตันก่อนผินหน้ากลับมามองแผ่นดินบ้านเกิด แต่..สายตาของเขาดูเป็นกังวลไม่น้อย คลื่นลูกใหญ่กระแทกกราบเรือเป็นระยะ

      เกือบสองเดือน ดร.พนาใช้ชีวิตบนเรือลำนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ว่าจ้างให้บรรทุกของใส่ตู้คอนเทนเนอร์มาส่งเมืองไทย แต่เขากลับใช้ชีวิตเยี่ยงลูกเรือ ทั้งเรื่องอาหารการกินและช่วยงานยามเกิดเหตุคับขัน นั่นจึงทำให้กัปตันและลูกเรือทุกคนต่างก็รักดร.พนา 

      "ขอให้ทันเวลาเถอะนะครับ..ปู่" เขาหันไปมองตู้คอนเทนเนอร์ท้ายเรือ "ปู๊นนนนนนน" กัปตันหันมายิ้มยิ้มแล้วดึงโซ่เปิดหวูดยาวอีกครั้ง"ปู๊นนนนนนนนน"

      …..ที่ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง 6 ชั่วโมงต่อมา.....

      ตู้คอนเทนเนอร์ถูกบรรจงยกลงจากเรือ วางลงบนรถสิบแปดล้ออย่างระมัดระวังภายใต้การคุมของดร.พนาอย่างใกล้ชิด "โอเค้ ค่อย ๆ หย่อนลงมาเลย" เสียงน้าเหนาะตะโกนบอกคนขับรถเครนพลางวาดมือลงตรง ๆ เป็นสัญญาณ "โอเค เรียบร้อย..เยี่ยมมากไอ้หนู" แกดูดบุหรี่ไฟแดงวาบ

      "ผมขอขอบคุณทุก ๆ คนมากนะครับ" ดร.พนายกมือไหว้กัปตันและน้าเหนาะ "จริง ๆ แล้วผมอยากอยู่เลี้ยงฉลองกับพวกกัปตันนะครับ เอ่อ..แต่ผมไม่มีเวลาแล้วน่ะครับ" เขายกมือไหว้อีกครั้งพร้อมกับยื่นซองกระดาษให้กัปตัน

      "อืม ไม่เป็นไรครับ ไว้มีโอกาส พวกเราค่อยนัดเจอกันก็ได้..เบอร์ทงเบอร์โทรก็มีแล้วนี่" กัปตันว่า

      "ครับ แล้วค่อยเจอกันคราวหน้า" ดร.พนาไขว้นิ้วไว้ข้างหลัง ??

      "ผมไปก่อนนะครับ" ดร.พนากล่าวลาแล้วกระโดดขึ้นไปสตาร์ทรถสิบแปดล้อขับออกไปจากท่าเรือ ปล่อยให้กัปตันเรือคลี่ดูเช็คจำนวนเงินมหาศาล

      "เฮ๊ย !! ตู้ ฯใบเดียวให้ค่าจ้างขนสองล้าน" น้าเหนาะต้นหนเรือหันมาขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ

      "อืม..แล้วมาใช้บริการอีกนะคุณ ?? เออ..ชื่ออะไรวะ" กัปตันนึกในใจ หันมองท้ายรถสิบแปดล้อจนลับตา ในใจยังนึกสงสัยสิ่งที่บรรทุกมาภายในตู้คอนเทนเนอร์

      ดร.พนารีบบึ่งรถมุ่งหน้าสู่บ้านเกิดทันที ในหัวก็ยังคิดถึงเรื่องความฝันเมื่อคืน "ใครกันนะที่เราเห็นในฝัน" .. "เสียงนั้น..เสียงนั้นเราจำได้คุ้น ๆ แต่ก็นึกไม่ออกว่าเป็นใคร" 

       อีกใจ ดร.พนาก็คิดถึงความน่าสะพรึงกลัวในอนาคตอันใกล้ หายนะที่ทำให้ประเทศไทยล่มสลาย "กัปตันครับ น้าเหนาะครับ ผมขออำนาจคุณพระคุณเจ้าช่วยให้ทั้งสองคนและคนไทยทั้งหมดปลอดภัยด้วยเทอญ" ดร.พนายกมือพนมท่วมหัว

      ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมท้องถนน ทางหลวงหมายเลข 340 ยามนี้รถราวิ่งกันน้อยมาก จะมีก็แต่รถบรรทุกฟางอัดวิ่งสวนกันอยู่เป็นระยะ สองข้างทางยังดูเปลี่ยนไปไม่มากนัก ตอซังข้าวหลังถูกเก็บเกี่ยวพอจะมองเห็นได้ในคืนเดือนหงาย

      ผู้คนวัยหนุ่มสาวในชนบทต่างพากันทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเข้าไปทำงานในกรูงเทพฯ..กรุงเทพฯซึ่งบัดนี้เปลี่ยนไปจากเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ตัวเมืองขยายใหญ่ขึ้นโดยควบรวมจังหวัดชานเมืองรอบ ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองหลวง แสงสีสว่างไสวไปทั่วแม้ในยามกลางคืนสมคำกรุงเทพฯไม่เคยหลับ ตึกรามบ้านช่องดูยิ่งใหญ่โอฬาร อาคารสำนักงานสูงเสียดฟ้า ประชากรเพิ่มขึ้นกว่าสามถึงสี่เท่าตัว..เพียงแต่ว่ามีบางส่วนแอบเร้นแฝงกายเข้ามาปะปนกับหมู่คน..ในฐานะ "ผู้มาเยือน"

      "ปู่ครับ อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะครับ โลกนี้ต้องพึ่งพาความสามารถของปู่" ด๊อกเตอร์หนุ่มเหยียบคันเร่งแรงขึ้นอีก รถสิบแปดล้อทะยานพุ่งไปอย่ารวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงฝุ่นจางเป็นทางยาวในความมืดบนทางหลวงหมายเลข 340 ...


      จบตอน ๒

      จุลชีพ   โจ๋

      ๐๕​ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๖

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่าา..นั่นสิครับ ลืมเรื่องนี้ไปได้ ผมมัวแต่คิดเรื่องระยะเวลาในการขนส่ง..กับอีกอย่างมันเป็นการขนแบบผิดกฏหมาย ซึ่งไม่ได้ระบุไว้ในรายละเอียดของเนื้อเรื่อง

    ขอบคุณครับ ต่อไปจะระวังมากกว่านี้

    ตอบลบ