วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

พันธนาการบนเส้นขนาน



      ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ ห้องนี้ ไม่ว่าจะมองไปยังมุมไหน ก็จะเห็นเพียงละอองแห่งความสิ้นหวังลอยเป็นสายสีเทา หลอดไฟแรงเทียนดวงน้อย ไม่สว่างพอจะทำให้เงาของผมเด่นกว่าความสลัวภายในห้องได้

      เสียงน้ำหยดเป็นจังหวะคือเสียงเดียวที่ผมได้ยินยามค่ำคืน ในแต่ละหยดของมันนั้นจะมีคีย์แตกต่างกันออกไป เมื่อหนึ่งหยดกระทบพื้น ผสานกับเสียงก้องสะท้อนผนังคอนกรีตหนากลับมาของหนึ่งหรือสองหยดก่อนหน้านี้..มันคล้ายมีวงออเคสตร้ามาขับกล่อมให้ผมนอนหลับได้อย่างสบายใจ

      แดดลอดผ่านจากช่องแสงเล็ก ๆ บนกำแพงสูง สาดขับละอองฝุ่นหมุนวนเป็นสาย ทำให้ผมรู้ว่าไม่ได้อยู่ในห้องนี้คนเดียว เพื่อนที่ผมไม่คิดจะรู้จักชื่อ..ละอองฝุ่นพวกน้ันเป็นเพื่อนกับผมมานานเกือบสิบปี

      ทุก ๆ วันผมจะเอื้อมมือไปสัมผัสสายแดดและละอองฝุ่น ผมมีเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนที่สายแดดนั้นจะพาดสายสูงขึ้นไปจนสุดมือเอื้อม..แล้วความมืดก็เข้ามาแทนที่


      ทุกอย่างวนเวียนเป็นวัฏจักรในรอบวัน วันแล้ววันเล่า นับเดือน นับปี ผมทิ้งประตูเหล็กที่มีช่องเล็ก ๆ สำหรับส่งอาหารไว้เบื้องหลัง มันเป็นประตูกั้นอิสรภาพของผมกับโลกภายนอก

      โซ่ตรวนที่โยงผูกพันธนามือและเท้าทิ้งสายหย่อนเพียงให้ผมขยับตัวได้แม้ไม่สะดวกนัก แต่ผมก็คิดเสียว่ามันเป็นเหมือนเครื่องออกกำลังกาย จากร่างกายผอมเกร็งเมื่อครั้งก่อนเข้าเรือนจำ ผมไม่เคยคิดที่จะปล่อยตัวเองให้ถดถอยท้อแท้ ร่างกำยำที่ผมสร้างขึ้นมาใหม่ มันจะเป็นกายเนื้อที่ทำให้ผมปลดล็อคพันธนาการ..ในใจ

      หวนนึกถึงวันแรกของการใช้ชีวิตในเรือนจำ ผมต้องติดอยู่ในห้องขังเดี่ยวมาตลอดเกือบสิบปี เพียงเพราะผู้คุมมองประเด็นว่า ผมเป็นตัวอันตรายต่อเพื่อนนักโทษและผู้คุม

      เป็นที่รู้กันว่านักโทษใหม่แทบทุกคน จะต้องถูกรับน้องเมื่อแรกเข้าเรือนจำ ด้วยนิสัยไม่ยอมคน ร่างโชกเลือดของบิ๊กกุย ขาใหญ่ในเรือนจำ หมอบกองอยู่ปลายเท้าผม หมัดลุ่น ๆ แลกกับเหล็กแหลมในมือบิ๊กกุย..ผมต้องถูกขังเดี่ยวนับตั้งแต่วันนั้น

      ต้องขอบคุณกองทัพบก สองปีของการฝึกเชิงยุทธวิธีอย่างเข้มงวดทำให้ผมแข็งแกร่งแม้ร่างกายจะผอมเกร็งภายหลังผมลาออกจากกองทัพ เพื่อดูแลแม่ที่ป่วย

     "พรุ่งนี้แล้วสินะ" ตามหมายสั่งปล่อยตัวของกรมราชทัณฑ์ มันเป็นวันครบกำหนดรับโทษในเหตุที่ผมไม่ได้ก่อ โซ่ตรวนที่ผูกติดข้อมือข้อเท้า ผมจะใช้มันให้เกิดประโยชน์..เป็นครั้งสุดท้าย..

     ภาพความฝัน..ของคืนสุดท้ายในเรือนจำ ภาพสองมือเต็มไปด้วยเลือดสดจากโพรงแผลกระสุนปืน บนหน้าอกเด็กชายตัวเล็กคนหนึ่ง น้ำตาของผมไหลอย่างไม่รู้ตัวขณะที่กำลังช่วยชีวิตเด็กชายคนนั้น ผมไม่รู้จักชื่อเขาเสียด้วยซ้ำ แต่เขากำลังจะตายเพราะ..ผม

      สายตาคู่หนึ่งในแสงสลัวกลางซอยเปลี่ยว จ้องผ่านศูนย์หลังมายังศูนย์หน้าของปืน 9 ม.ม. ค่อย ๆ ก้าวเข้ามาอย่างสุขุมเชื่องช้า มือที่กดปากแผลจากคมกระสุนของปืนกระบอกเดียวกัน ถูกกระชากออก

      ..แกร๊ก!!..เสียงกุญแจมือสับล็อกมือของผมซึ่งชุ่มไปด้วยเลือดไขว้ไว้ด้านหลัง ผมถูกเหวี่ยงออกไปอีกทาง ห่อขนมปังที่ผมขโมยมาจากร้านสะดวกซื้อกระเด็นออกจากชายพกกางเกง ผมมองภาพเด็กน้อยค่อย ๆ สิ้นลมผ่านฝ้าคราบน้ำตา

     "แม่ครับ ผมขอโทษ" ผมพูดกับกองเศษขนมปังบนพื้นถนน

      ผมสะดุ้งตื่น น้ำตาอุ่นอาบแก้มตั้งแต่เมื่อใดไม่รู้ "ทำไมต้องมาฝันแบบนี้อีก"

      ในขณะพันธนาการทางกายจะถูกปลดพ้นสู่อิสรภาพ..แต่มันกลับพันธนาจิตใจรัดตรึงแน่นขึ้น..แน่นขึ้น
ผมนั่งกอดเข่าฟังเสียงน้ำหยดจนฟ้าสาง

      ผมลืมไปแล้วว่าสัมผัสก่อนสิ้นอิสรภาพนั้นเป็นเช่นไร ประหวั่นว่าจะจำมันได้หรือไม่ ผมเหลือบตามองลอดหน้าต่าง ต้นคูนหน้าเรือนจำกำลังโย้ช่อดอก พลิ้วตามแรงลม มือผมสั่นเทาขณะเซ็นชื่อในหนังสือปล่อยตัว

      สิบปีเต็มในกรอบกำแพงปูนสูงทอดเงาทะมึนดำ ก้าวแรกขณะข้ามผ่านพ้นออกมานั้น สัมผัสเท้าบนพื้นคอนกรีตหยาบ ๆ กลับนุ่มเบาเหมือนปุยนุ่น เฮือกแรกของกลิ่นแห่งอิสรภาพ มันช่างหอมสดชื่นเสียยิ่งกระไร 

     "จะไม่กลับมาที่นี่อีกเป็นครั้งที่สอง" ผมพูดฝากผ่านสายลม..โดยไม่หันกลับไปมอง

      ..เรือนไม้ฝาปะกนเก่าผุ หลังคาสังกะสีทะลุเปิดจนมองเห็นฟ้าใสยามกลางวัน ใบไม้กรอบแห้งถูกลมหอบผ่านหน้าต่างและประตูที่เปิดอ้าทิ้งไว้ ไปกระจุกกองรวมอยู่ตรงมุมในสุดของตัวเรือน บันไดเก่าเกรอะซากเศษดินหลังจากไม่มีใครก้าวผ่านมานาน

      ผมจุดธูปที่เตรียมมา กราบขอขมาต่อหน้าโกศบรรจุเถ้ากระดูกของแม่ผู้ล่วงลับ..ไม่มีภาพของแม่แขวนติดฝาเรือนเช่นบ้านอื่น..ภาพใบหน้าของแม่ผุดขึ้นมาในใจ

      ครั้งที่แม่จากไป ขณะนั้นผมยังอยู่ในเรือนจำ ชาวบ้านใกล้เรือนเคียงก็ช่วยกันจัดงานศพตามอัตภาพ ก็ได้พึ่งใบบุญหลวงพ่อเจ้าอาวาสวัดช่วยดูแลธุระเป็นเจ้าภาพงานสวดพระอภิธรรม จวบจนพิธีฌาปนกิจในวันสุดท้ายของแม่

      ผมใช้เวลาทำความสะอาดเรือนเกือบค่อนวัน ล้มตัวลงนอนตรงที่ ๆ แม่เคยนอนป่วยอยู่ น้ำตาปริ่มไหลอาบแก้มทุกครั้งเมื่อกะพริบตา ความสับสนในอดีตเวียนวนอยู่ในหัว..เสียงปืนสะท้อนก้อง..ภาพเด็กชายร่างอาบชุ่มไปด้วยเลือด..ภาพนายตำรวจเจ้าของร้านสะดวกซื้อคนนั้น..ภาพรอยรูกระสุนปืนตรงชายเสื้อ..เสียงไซเรน..เสียงก่นด่าสาปแช่งของชาวบ้าน

      สองมือผมสั่นเทา แขนขาหนักอึ้งเหมือนครั้งยังถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวน ผมยันตัวนั่งพิงข้างฝา ก้มมองดูมือหยาบหนา..น้ำตาหยดขังสะท้อนแสงจันทร์ในอุ้งมือ

      เสียงแห่งความเงียบดังกึกก้องกังวานอยู่ในหัว แสงแห่งความมืดสว่างวาบยามหลับตา ความเย็นชาก่อตัวขึ้นจากเบื้องลึกของจิตใต้สำนึก มันค่อย ๆ ครอบงำความรู้สึกผิดชอบชั่วดี

      ลมเย็นยามค่ำคืน ไม่สามารถพัดนำความร้อนรุ่มในใจผมออกไปได้ ความปวดร้าวครั้งอดีตกดทับสำนึกมนุษยธรรม

      ผมกระโดดลงเรือน ปืนยาวสไนเปอร์ในกล่องไม้ที่ฝังไว้ตรงสุดมุมสวนหลังบ้าน ถูกขุดขึ้นมาล้างทำความสะอาด

      แช๊ะ!!..เข็มแทงชนวนแหวกผ่านอากาศกระทบรังเพลิงว่างเปล่า ต้องขอบคุณกองทัพอีกครั้ง สำหรับการฝึกให้ผมเป็นพลซุ่มยิงเมื่อครั้งรับราชการทหาร

      กระสุนปืนไรเฟิล .45 NATO ถูกเช็ดทำความสะอาดจนวาววับสะท้อนรับแสงจันทร์ในคืนเดือนหงาย..คราบน้ำตาแห้งสนิทแล้ว ลมเย็นวูบพัดเอาหนังสือพิมพ์ที่ผมหยิบซื้อติดมือมาจากตลาด กระจายเกลื่อนห้อง เผยพาดหัวข่าวการกลับมาของอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งหนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ ข่าวความขัดแย้งของคนในชาติ..

      กว่า 3 ชั่วโมง ผมแบกกล่องกีตาร์ซึ่งภายในบรรจุปืนไรเฟิล เดินฝ่าลมเย็นเอื่อย ตระเวนสำรวจรอบ ๆ สนามบิน ตึกร้างตรงสุดหัวถนนเป็นตัวเลือกอย่างเสียมิได้ แต่มันก็เป็นเพียงตำแหน่งเดียวที่สามารถมองเห็นลานจอดเครื่องบินทั้งหมด

      ระยะ 1,850 เมตร ดูจะเป็นระยะหวังผลได้น้อยมากสำหรับพลซุ่มยิง แต่สำหรับในวันที่กระแสลมอ่อนเช่นวันนี้ บวกกับจุดยุทธศาสตร์บนอาคารสูง ผมอาจหวังผลสำเร็จได้..แม้ไม่เต็มร้อย

      บ่ายโมงครึ่ง เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวนำวีรบุรุษของกลุ่มคนบางส่วนในประเทศ วิ่งมาตามรันเวย์แล้วจอดสงบนิ่งตรงเบื้องหน้าฝูงชนที่ไปให้การต้อนรับในสนามบินนับพันคน

      ..แกร๊ก..ผมดันกระสุนเข้ารังเพลิง มองผ่านกล้องเล็งคุณภาพสูงไปยังประตูทางออกของเครื่องบิน

      ท่าทีกระโดดโลดเต้นและเสียงโห่ร้องซึ่งผมไม่ได้ยิน ผู้คนที่ไปรอต้อนรับทำให้ผมแว่บจากการเล็ง..เหงื่อซึมไหลจากหน้าผากผ่านหางตา

      ผมดึงสติกลับมาอีกครั้งเมื่อเห็นประตูเครื่องบินเริ่มเปิดออก ชายในชุดสูทสีแดงสดก้าวผ่านปากประตูเครื่องบินออกมา ผมจำได้แม่น.."มัน"คือคนเดียวกันกับคนที่ยัดข้อหาคดีฆ่าเด็กตายเมื่อสิบปีที่แล้ว

      ผุดภาพกระสุนปืนทะลุชายเสื้อเฉี่ยวพลาดผิวเนื้อผม ไปปะทะหน้าอกเด็กจรจัดข้างกองขยะ..

      สิบปีที่ผมต้องอยู่ในเรื่องจำ สิบปีที่มันไต่เต้าจากข้าราชการตำรวจระดับพันตำรวจโท ผันตัวเองนักการเมืองท้องถิ่น และขยับขึ้นเป็นนักการเมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเลวที่สุดเท่าที่มีมาในประเทศ

      สิบปีที่ชีวิตของเราสองคนวิ่งสวนทางกันอยู่บนเส้นขนาน..

      ผมตั้งสติ กำหนดลมหายใจเข้า ผ่อนลมหายใจออกช้า ๆ แล้วหยุด..

      ทุกสิ่งในสายตาซึ่งผมจับภาพผ่านกล้อง หยุดนิ่งไม่ไหวติง ศูนย์ปืนสงบ ปากกระบอกปืนเล็งตรงเป้า
นิ้วชี้ในโกร่งไกทำงานอย่างเชื่องช้า มั่นคง นิ่มนวล

      ปังงงง..

      ปากกระบอกปืนสะบัดขึ้นเล็กน้อย ผมมองผ่านกล้อง เป้าหมายเซถอยหลัง มือยังยกชูค้างอยู่อย่างนั้น เลือดสด ๆ และมันสมอง กระจายเป็นวงกว้างเต็มขอบประตูทางออกเครื่องบิน

      ผู้คนบริเวณนั้นเปลี่ยนท่าที ชายคนนั้นค่อย ๆ ทรุดร่างลงกับพื้น

     "สำเร็จ" ผมนึกในใจ แล้วเก็บทุกสิ่งลงในกล่องกีตาร์ใบใหญ่ ผมเดินออกจากตรงนั้น ทิ้งความโกลาหลในสนามบินไว้เบื้องหลัง..

      8 เดือนต่อมา..

      ในฐานะช่างก่อปูนของโครงการสร้างคอนโดขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวง ทุก ๆ เช้าผมจะมีโอกาสได้พูดคุยสังสรรค์กับหมู่เพื่อนร่วมงาน

      หัวข้อสนทนา สถานะการณ์ในประเทศเข้าสู่ความสงบอีกครั้ง แม้ว่าในช่วงแรกจะมีความขัดแย้งของกลุ่มคนสองฝ่าย จนก่อตัวเป็นสงครามกลางเมืองขนาดย่อม แต่ด้วยเพราะขาดการสนับสนุนด้านการเงิน ทำให้ฝ่ายรัฐบาลที่อดีตนายกผู้ล่วงลับเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง มีอันต้องพ่ายแพ้ให้กับกองกำลังของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ..

      รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแทนที่ ประชาธิปไตยที่ไม่เคยอยู่ในความคิดผมเริ่มเปลี่ยนไป..สู่อุดมการณ์อันว่างเปล่า สำหรับผม

      ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ การจากไปของอดีตนายกรัฐมนตรี ค่อย ๆ เลือนหายไปจากความทรงจำ

      ผมไม่บอกใครหรอกว่าผมทำอะไรลงไป ผมไม่ใส่ใจต่อผลของการกระทำนั้น ผมยังคงเป็น "ชายนิรนาม" ตามชื่อที่สื่อมวลชนเคยตั้งให้ เมื่อครั้งกระสุนนัดนั้นพุ่งออกจากปากกระบอกปืน

      ภายใต้สายลมเย็นเยือก ภาพความสงบสุขของเพื่อนร่วมชาติ ขอเพียง..แค่ผมสามารถปลดโซ่ตรวนที่พันธนาการภายในจิตใจของผมออกจนหมดสิ้นแล้ว แค่นั้น..ผมคิดเพียงแค่นั้น

      จุลชีพ โจ๋


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น