กลิ่นควันธูปโชยแทรกม่านหนาของควันกาบมะพร้าวที่สุมไฟไล่ยุงให้ควายที่คอกหลังเรือน ทำให้ไอ้เหน่งต้องสะดุ้งตื่น งัวเงียหันไปมองตามต้นทางของกลิ่นสาบซากแห้ง
แสงจันทร์ที่ลอดผ่านรองแยกของฝาบ้านอาจจะไม่สว่างมากนัก แต่ภาพที่ปรากฏตรงหน้าไอ้เหน่ง แม้เพียงราง ๆ ก็พอจะทำให้มันรู้ว่าสิ่งที่มันเห็นนั้นไม่ใช่คน!!
ไอ้เหน่งขยี้ตาดูให้แน่ใจ ร่างเงานั้นก็ยังยืนทะมึนอยู่ตรงหน้าประตู มันตัดสินใจเอื้อมไปหยิบห่อผ้าบนหัวนอน
"มา มึงเข้ามา กูไม่กลัวมึงหรอกไอ้ผีเร่ร่อน" ว่าแล้วก็แก้ปมห่อผ้าแล้วชูพระพุทธรูปทองคำสมัยสุโขทัยองค์งามที่มันเพิ่งไปขโมยจากวัดขึ้นมาขู่ผีที่คิดหาญจะมาหลอกมัน
ไม่เป็นอย่างที่ใจมันคิด ร่างเงารางนั้นกลับชัดขึ้น ผิวหนังเริ่มพุพองแตกออก น้ำเหลืองไหลเยิ้ม ดวงตาปูดโปนทะลักออกนอกเบ้าตา ลมแรงจากนอกบ้านพัดหน้าต่างเปิดปิดดังปึงปัง หมุนวนส่งกลิ่นเน่าซากศพและเศษใบไม้ตลบอบอวลไปทั่วบริเวณบ้านไอ้เหน่ง
ไอ้เหน่งยิ่งแปลกใจมากขึ้น เมื่อร่างนั้นค่อย ๆ เข้าใกล้แล้วยื่นหน้าทะลุผ่านองค์พระ จนจ่อกับหน้าของมัน
เหงื่อเม็ดโป้งผุดขึ้นเต็มใบหน้า ดวงตาเบิกโพลง ปากคอสั่นพูดไม่ออก มันอยากจะวิ่งหนีจากตรงนั้น แต่ขามันกลับแข็ง ยืนตัวเกร็งเป็นตอไม้ไม่สามารถขยับเขยื่อนตัวได้
"พระท่านฯ คงไม่ช่วยโจรชั่วที่ขโมยท่านฯมาหรอก ไอ้เหน่ง" เสียงเจ้าผีดังก้องในหัว
"กูให้เวลามึงก่อนรุ่งสาง รีบนำพระพุทธรูปไปคืนที่วัดเสีย ไม่อย่างนั้นกูจะหักคอมึงซะเดี๋ยวนี้"
พูดจบ เจ้าผีก็ยื่นมือมาวางที่ลำคอไอ้เหน่ง..น้ำเหลืองหยดไหลเป็นทาง
"อย่า ๆ ๆ ชั้นกลัวแล้ว อย่าทำอะไรชั้นเลย ปะเดี๋ยวชั้นจะเอาพระไปคืนที่วัด อย่าทำอะไรชั้นเลย" ไอ้เหน่งยืนตัวแข็งหลับตาปี๋
"กูจะให้โอกาสมึง แต่ถ้าก่อนรุ่งสาง องค์พระยังไม่กลับไปตั้งอยู่ที่เดิม.มึงตาย!!"
กลิ่นเหม็นเน่าค่อย ๆ จางลง ลมที่พัดกระโชกเริ่มสงบ ทิ้งเศษใบไม้กราดเกลื่อนห้องนอน ไอ้เหน่งหรี่ตามองรอบ ๆ จนแน่ใจว่าเจ้าผีไม่อยู่แล้ว มันรีบจัดแจงรวบห่อผ้าบรรจุพระที่มันขโมยมาจากวัด โดดลงเรือนโดยไม่คิดผ่านบันได ๗ ขั้น วิ่งหน้าตั้งมุ่งหน้าไปวัดเพื่อนำของทั้งหมดไปคืน
"ก่อนรุ่งสาง..กูให้โอกาสมึงแค่นั้น" เสียงเจ้าผีดังก้องไล่หลังไอ้เหน่ง
"รู้แล้วจ้าาาา.."
ณ.ทุ่งท้ายหมู่บ้าน
กระท่อมไม้หลังคามุงจากหลังน้อยกลางหมู่ไม้ใหญ่ที่ล้อมรอบตัวบ้านซึ่งดูร่มรื่น แต่กลับไม่มีสัตว์ใหญ่น้อยหรือแม้แต่มดสักตัวมาทำรังอาศัย ผู้คนในหมู่บ้านหากจะต้องผ่านเส้นทางนี้ในยามค่ำคืน ต่างก็ขอเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นแม้จะต้องอ้อมไปหลายกิโลฯ จะมีก็แต่ตอนกลางวันที่ชาวบ้านจะเทียวมาของคำปรึกษาและนำข้าวปลาอาหารมาฝากเจ้าของบ้าน
นั่นคือกระท่อมของเฒ่าฉ่าง จอมขมังเวทย์แห่งบ้านหัวไทร
ค่ำคืนเดือนมืดเช่นนี้นี้แสงตะเกียงสว่างวาบจากในบ้าน ส่องสว่างแปลกตาท้าแสงดาวในยามดึกสงัด เสียงร้องโอดครวญ โหยหวนดังไปทั่วบริเวณชายทุ่งบ้านหัวไทร เหล่าสุนัขใหญ่น้อยหอนรับต่อกันเป็นทอด ๆ
หวายลงอาคมซึ่งเคยปราบผีมานักต่อนัก บัดนี้เปรียบได้เป็นแผ่นบรรเทาอาการปวดคลึงอยู่บนใบหน้าเจ้าขาม ผีอดีตนักเลงที่ไปทวงพระพุทธรูปจากโจรชั่ว
"ข้าให้เอ็งไปทวงของดี ๆ แต่ดันทะลึ่งไปหาเรื่องใส่ตัว มีอย่างที่ไหนผียื่นหน้าไปแตะพระ" เฒ่าฉ่างคลึงหวายพร้อมเป่าคาถากำกับ พลางยิ้มมุมปาก นึกขำกับการกระทำของสมุน ต่างจากเจ้าผีสามตัวที่นั่งอยู่ข้าง หัวเราะชอบใจกันออกนอกหน้า สมน้ำหน้าในการทำเกินหน้าที่ของเพื่อน
"อูยยย..แทนที่จะไปช่วยกัน พวกมึงกลับมานั่งหัวเราะเยาะกู..จำไว้..อูยย" ผีไอ้ขามตัดพ้อเพื่อน ๆ ผี
เสียงร้องโอดครวญของผีไอ้ขามดังลั่นทุ่งอยู่นาน มันค่อย ๆ เงียบเสียงไป เมื่อเสียงไก่ในหมู่บ้านโก่งคอขันรับอรุณใหม่
เช้าวันนี้ก็เป็นเหมือนเช่นทุกวัน เฒ่าฉ่างพาร่างชราผอมเกร็งมองเห็นเส้นเลือดปูดโปนตลอดลำแขน เสื้อขาวแขนยาวพับเลยศอกกับกางเกงเลสีขาวเป็นชุดประจำของเฒ่าฉ่าง แกเดินเลาะทุ่งฝ่าสายลมหนาวที่โชยพัดใบไม้แห้งมาเกาะติดผมและหนวดเครายาวสีดอกเลารุงรัง
เสียงชาวบ้านโจษจันถึงข่าวโจรชั่วแต่กลับใจ นำพระไปคืนที่วัดแล้วนอนสั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่หน้าโบสถ์ไม้ในวัดหัวไทร จวบจนมีชาวบ้านไปพบแล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าไปจับกุม
มันเป็นทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ของบ้านหัวไทรในยามนี้
เฒ่าฉ่างนั่งละเลียดกาแฟกับปาท่องโก๋ ส่ายหัวไปมาอมยิ้มนึกขำถึงต้นเหตุที่อ้ายโจรนำพระไปคืนวัด พลางนึกสงสารสมุนอยู่ในใจ เหลือบตามองรอบ ๆ นั่งดูความยินดีของผู้คนในตลาดที่ได้พระพุทธรูปเก่าแก่กลับคืนมา..แต่..พลันสายตาพาดมองไปเห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์ในมือลูกค้ากาแฟโต๊ะข้าง ๆ...เฒ่าฉ่างเพ่งดูหัวข้อข่าวอยู่หลายรอบ
"เฮ๊ย!! ไอ้ด๊อก.." เฒ่าฉ่างรีบลุกไปคว้าหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
หัวข้อข่าวตัวโตกล่าวถึง อดีตพนักงาน 3 คนของสถาบันสมิธโซเนี่ยน ในสหรัฐอเมริกา ได้ขโมยแบบแปลนงานวิจัยที่เป็นความลับสุดยอด และ คาดว่าจะหนีมากบดานอยู่ที่ประเทศไทย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ ดร.ธนา พนาศิลป์ หลายชายคนเดียวของเฒ่าฉ่าง..
"นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรกันวะเนี่ย..ไอ้ด๊อก??"
เฒ่าฉ่างนั่งนิ่ง สับสนกับข่าวในหนังสือพิมพ์ ปล่อยให้ลมหนาวพัดผ่านตัว ราวไม่รู้สึกอะไร
"มันไม่น่าเป็นไปได้"
กลางดึกคืนนั้น เฒ่าฉ่างพยายามทำสมาธิเพ่งกสิณ เพื่อดูอนาคตของหลานชาย แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถทำได้
"ทำไมข้ามองไม่เห็นอนาคตวะไอ้ขาม,ไอ้แดง,ไอ้ทอง,ไอ้พร้าว" ผู้เฒ่าถามสมุนผี แต่คำตอบที่ได้คือส่ายหน้า
"หรือเป็นเพราะจิตห่วงเรื่องหลานมากไป เลยยังสงบไม่พอรึเปล่าอาจารย์" ไอ้ทองผีทหารยุคสงครามอินโดจีนนั่งนึกสักครู่แล้วตอบ
"ไม่ใช่ จิตข้าสงบสมบูรณ์แบบ ปกติข้าเคยเพ่งกสิณส่องเหตุการณ์ทั้งในอดีตและอนาคต แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับมีแต่ความดำมืด ไม่มีทางเดิน ไม่มีแม้แสงสักนิด ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่ว่าของใครคนไหนหรือแม้แต่ตัวข้าเอง"
"ข้าชักเป็นห่วงไอ้ด๊อกซะแล้วสิ" เฒ่าฉ่างแหงนหน้ารำพันกับดวงดาวระยับบนฟากฟ้า..
จบตอน ๑
จุลชีพ โจ๋
๑๔ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๖
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น