วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เสียงร่ำไห้แห่งผืนป่า




        ยามหน้าน้ำหลาก ความในใจของผืนป่าสำแดงออกมาให้ผู้คนได้รับรู้ เสียงคร่ำครวญกรีดร้องที่ฝากไปกับสายน้ำ กล่าวบอกทุกเรื่องราวแห่งความระทม สรรพสำเนียงของเหล่าสัตว์ป่าที่ถอยหลังออกไปยืนตะเบ็งอยู่ขอบเนินดิน ส่งผ่านความลำเค็ญมาสู่ผู้คน


        เกลียวคลื่นแห่งความบ้าคลั่งที่พัดลอกผิวดิน ได้พาน้ำตา..น้ำตาของผืนป่าไปด้วย

        ที่ปลายทาง น้ำตาดินสีแดงเข้ม ไหลปะทะความแร้นแค้นของสำนึกที่หายไปของมนุษย์ เสียงกรีดร้องโหยหวนคราวเมื่อสูญเสียของผู้คน ระงมไปทั่ว เมื่อสิ้นเสียงคร่ำครวญของผืนป่า..

        สติยังคงอยู่เพียงครู่..แล้วมันก็จางหายไป อีกครั้งหนึ่ง

        ไอแดดที่ลอยจับผิวดินละเลียดเงาร้อนเป็นระลอกคลื่น รองรับฝ่าเท้าของผู้สูญเสียเอาไว้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้า กองฟืนกองใหญ่ถูกสุมไฟท่วมหัว ผู้คนยืนมองอยู่เหนือลม ใบไม้แห้งปลิวหล่นจากต้นไม้ ลอยหลบเปลวไฟที่ลุกโชน เปิดทางให้ไฟทำหน้าที่ของมัน

        เสียงคร่ำครวญของแม่เฒ่าที่นั่งชันเข่าเช็ดน้ำตา ขวานด้ามเขื่อง สมบัติชิ้นสุดท้ายของพ่อเฒ่าถูกโยนเข้าไปในกองไฟ ดวงตาฝ้าฟางมองภาพรางของเปลวเพลิงที่โอบคลุมร่าง  ร่างของพ่อเฒ่าที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา..น้ำตาแม่เฒ่าหล่นลงปนกับเศษซาก น้ำตาแห่งผืนป่า ที่ยังคงมีเหลือให้เห็น

        ใต้กองฟืนที่รองรับร่างของพ่อเฒ่า เศษเถ้าธุลี ตกทับกลบน้ำตาของผืนป่าจนมิด..มีเพียงเสียงสะอื้นเบาๆ เบาจนแม้ผู้คนที่อยู่ใกล้ๆบริเวณนั้นก็ยังไม่ได้ยิน

        มีเพียงร่างรางๆของพ่อเฒ่า ที่ยืนลอยอยู่เหนือผิวดิน สัมผ้สถึงเสียงนั้นได้ ภาพที่ปรากฏตรงหน้าพ่อเฒ่านั้น กำลังถอยห่าง..ถอยห่างออกไปเรื่อยๆ

        กองเถัาปนเถ้ากระดูกของพ่อเฒ่า เดียวดายเคียงข้างกลุ่มควันไฟที่ลอยอยู่ หัวขวานดำทะมึนนอนนิ่งสงบใต้กองเถ้า บัดนี้ไม่มีแม้เงารางของพ่อเฒ่า น้ำตาของผู้สูญเสียได้ถูกควันไฟพาลอยขึ้นที่สูงบนภูเขา..รอวันที่น้ำตาแห่ง ผืนป่าจะหวนกลับมาอีกครั้ง

        แม่เฒ่าพาร่างถอยห่างจากจิตสำนึกแห่งผืนป่า เก็บงำความอาลัยไว้ในใจ..



จุลชีพ   โจ๋

๒๗   สิงหาคม   พ.ศ.   ๒๕๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น