![]() |
| อุ่นไอกลิ่นแห่งกาลเวลา |
กลุ่นกลิ่นกาแฟโชยหอมเคล้าอบอวลผสานไอแฮมเบอเกอร์ที่อบอุ่นอยู่ในเตา โต๊ะทุกตัวถูกจับจองจนไม่มีที่ว่าง ภายใต้บรรยากาศที่เย็นฉ่ำ มันช่างตัดกับสภาพรีบเร่งขอผู้คนภายนอกที่แผดเงาเข้มกันขว้กไขวตลอดแนวถนน เสียงพูดคุยจอแจเป็นสิ่งที่ไม่เคยหยุดภายในร้านกาแฟมาตั้งแต่สมัยก่อน ตั้งแต่สมัยที่เรียกขานเป็นสภากาแฟ ร้านกาแฟจึงถือเป็นสถานที่สำคัญในวาระต่างๆของหมู่ชนไปโดยปริยาย
ไอซ์เวนตี้ม๊อคค่า เมนูกาแฟเย็นที่ผมสั่งมานั่งดื่มได้โดยไม่ต้องเปล่งเสียง เพราะทันทีที่ก้าวข้างธรณีประตูสตาร์บั๊กส์ สาขาท่องหล่อ น้องๆบาริสต้าที่ยืนหน้าเค้าน์เตอร์ก็รู้เมนูได้ทันที ด้วยความเป็นลูกค้าประจำ เพียงแค่สบตาก็เป็นอันรู้กัน
ที่โต๊ะมุมเดิม มุมนอกร้านที่ต้องเดินฝ่าเถาไม้ที่ทิ้งตัวเลื้อยรกเต็มขอบทางเท้า แต่ด้วยกิ่งก้านใบของร่มไม้ใหญ่ที่แผ่กว้างกรองแดดยามบ่ายแก่ ๆ มีพัดลมไอน้ำอยู่เหนือขึ้นไปเป่าผ่านศีรษะไปเพื่อระบายความร้อนในอากาศ มันจึงเป็นมุมสงบของผมที่จะมานั่งคาบบุหรี่ เปิดโน๊ตบุ๊กเขียนแบบ ได้อย่างสบายใจ
แต่ทว่าเพียงว่า วันนี้เป็นวันที่บรรยากาศเดิมที่เคยชื่นมื่นกลับไม่สามารถทำให้ผมรู้สึกดี เหมือนเคย ก็เพราะด้วยการนั่งรอ รอมาเป็นเวลาสามชั่วโมงกว่า จากบ่ายโมงครึ่งตามเวลานัด จนบัดนี้เกือบสี่โมงเย็น ผมนั่งรอแบบจากอินทีเรียดีไซน์เนอร์ที่ซึ่งบริษัทอยู่ห่างจากร้านเพียงแค่ ไม่ถึงกิโลเมตร ที่ต่อให้นั่งขี่เต่าเอาแบบมาให้มันก็น่าจะถึงตั้งแต่ชั่วโมงแรกแล้ว แต่ว่าก็นะ มันเป็นงาน งานคือเงิน เงินคืองาน ผมนึกปลอบตัวเองในใจ พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วนั่งเขียนแบบต่อไปเรื่อย ๆ
แก้วกาแฟที่ถูกพันรอบด้วยกระดาษทิชชู่ของร้านไม่ต่ำห้าแผ่นขึ้นดื่มถูกยก ขึ้นดื่มแบบจิบ ค่อย ๆดื่มไปเรื่อย ๆ "ทำไมต้องพันกระดาษทิชชู่" เพื่อนๆผมหลายคนเคยถาม..."ใช้กระดาษเป็นตัวรักษาอุณหภูมิไง"... ผมตอบ ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ง่าย ๆเช่นนี้ ทำให้ผมสามารถละเลียดดื่มกาแฟราคาแก้วละ 135 บาทได้อย่างคุ้มค่าที่สุด ถ้าคิดเฉลี่ย ผมจะใช้เวลาสามชั่วโมงในการดื่ม ก็เท่ากับว่าผมใช้เงินจำนวน สองสตางค์กว่า ๆ ต่อวินาที ในการนั่งอินกับบรรยากาศและรสชาติของกาแฟแก้วโปรด
บ่ายสี่โมงกว่า ๆ ยังไร้วี่แววของคู่นัด แต่ก็ยังดีที่มีน้อง ๆ หน้าตาเทรนด์เกาหลี ในชุดนักศึกษาฟิตเปรี้ยะสามคนมานั่งโต๊ะข้าง ๆ ส่งเสียงเจื้อยแจ้วคุยเป็นนกกระจอกแตกรัง ผมพยายามเงี่ยหูฟังพวกเธอคุยกันโดยที่มุมปากยังคาบบุหรี่และนั่งเขียนแบบ อยู่ หากแต่ว่ามีเหลือบมองเป็นระยะทุกครั้งที่พวกเธอพากันหัวเราะเสียงดัง จับใจความได้ประมาณว่า วันนี้จะมีงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนของพวกเธอ ที่มานั่งกันก็แค่รอเวลาที่เพื่อนจะมารับ นี่เป็น
กลิ่นบุหรี่จาง ๆ ก็ลอยมาเตะจมูก ผมเหลือบมองพวกเธอ สองในสามคนกำลังนั่งไขว่ห้างสูบบุหรี่ พลางคุยกันส่งเสียงดังเช่นเดิม... มาร์ลโบโร่ไลท์จึงถูกผมเคาะออกมาจากซองเพื่อสูบอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะสูบหมดมวนไปก่อนหน้านี้ไม่ถึงยี่สิบนาที ถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเงาของคู่นัดที่เคารพ...
"ไม่มี" เสียงพูดกึ่งตะคอกจากโต๊ะข้าง ๆดังขึ้น ทำให้ผมต้องเหลือบตามองพวกเธออีกครั้ง..
ชายวัยกลางคน ๆ เดิมที่ผมเคยเห็นหลายครั้งเมื่ิอหลาย ๆ วันก่อน มาด้วยชุด ๆ เดิม ที่มอม ๆ มีขาดเล็กน้อยที่ปลายแขนเสื้อ มายืนขอเงินพวกเธอเพื่อไปซื้อตั๋วรถกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ผมเดา จากประสบการณ์ที่พบลุงแกในครั้งก่อนๆ ทำให้บรรยากาศบริเวณนั้นเปลี่ยนไปทันที ผมรู้สึกได้ และเดาได้อีกด้วยว่า ในอีกไม่กี่อึดใจผมคงต้องเผชิญเหตุการแบบเดียวกันพวกเธอ
ไวกว่าใจคิด..บัดนี้ชายคนนั้นได้มายืนอยู่ข้าง ๆ ผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คำพูดวิงวอนลักษณะเดิมพรั่งพรูออกจากปากแก ผมก้มหน้านิ่งนั่งเขียนแบบต่อ กะจะให้ลุงแกเบื่อพูดแล้วเดินจากไปเองเหมือนครั้งก่อน แต่ครั้งนี้ไม่เป็นอย่างนั้น ลุงแกยังคงยืนพูดหว่านล้อมขอเงินผมอยู่นานกว่าปกติ ผมเหลือบมองโต๊ะข้าง ๆ อีกครั้ง เสียงเจื้อยแจ้วเมื่อกี้หายไป เหลือเพียงเสียงคุยกันแบบเบา ๆ แค่ให้ได้ยินเฉพาะในกลุ่ม
ขณะที่ผมกำลังจะชักสายตากลับมาที่จอโน๊ตบุ๊กเหมือนเดิม ผมจึงเข้าแล้วใจว่า ทำไมลุงแกถึงยังคงยืนพูดหว่านล้อมผมอยู่นานกว่าปกติ...เหรียญห้าบาท ครับ!! เหรียญห้าบาทใหม่เอี่ยม เงินทอนที่เหลือจากตอนซื้อกาแฟ ซึ่งวางทับอยู่บนบัตรจอดรถ ขณะนี้ได้เป็นตัวประกันในสายตาของลุงแกไปแล้ว ผมมองหน้าลุงที่ยังคงพูดเจื้อยแจ้วแทนสามสาวที่นั่งคุยกับแบบกระซิบ
ด้วยต้องจำนนต่อหลักฐาน ทำให้ผมอยู่ในสภาวะจำยอมต้องหยิบยื่นเหรียญห้าบาทใหม่เอี่ยมนั้นให้กับลุงแก ไป เช่นเดียวกับครั้งแรกกับครั้งแรกที่พบแก แตกต่างกันที่อารมณ์ซึ่งครั้งแรกนั้นผมหยิบเศษเหรียญยี่สิบกว่าบาทให้ลุงแก ด้วยความสงสาร แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่โดยสิ้นเชิง
ลุงรับเงินแล้วเดินจากไป ผมหันไปมองโต๊ะข้าง ๆอีก หนึ่งในสามที่นั่งหันหน้ามาทางผมยิ้มแล้วยักไหล่ให้ผมแบบรู้กันทำให้อีกสอง คนก็หันมายิ้มตาม ผมยิ้มตอบแบบแหย ๆด้วยอารมณ์แบบเซ็ง ๆ ซึ่งดูแล้วพวกเธอก็เข้าใจ ผมจุดบุหรี่สูบอีกมวนเป็นการแก้เขิน...ห้าโมงตรง คู่นัดกิติมศักดิ์ก็ยังไม่โผล่มาให้เห็น...
ผมนั่งดูดกาแฟในแก้ว ซึ่งตอนนี้รสชาติของมันเริ่มจะจืดลงเรื่อย ๆ ด้วยน้ำแข็งที่ละลายจนเกือบหมด เหลือปริมาณกาแฟในแก้วอีกไม่มาก ถึงขั้นนี้แล้ว ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ได ๆ ก็ไม่สามารถหยุดความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ แต่วินาทีนี้ 135 บาท ที่ผมจ่ายไป ผมถือว่าผมใช้คุ้มที่สุดแล้ว
เสียงแตรรถ ดังมาจากอีกฟากของถนน ทำให้สามสาวกุรีกุจอรีบเก็บข้าวของที่กองอยู่บนโต๊ะและเก้าอี้ รีบวิ่งข้ามถนนไปขึ้นรถเบนซ์คันหรู ทิ้งให้ผมต้องนั่งอยู่คนเดียวด้วยบรรยากาศอึมครึมในใจต่อไป...ห้าโมงสิบนาที ผมยังคงต้องนั่งรอต่อไป
แบตเตอรี่โน๊ตบุ๊กหมด กาแฟก็หมด
ผมจึงขยับเก้าอี้หันออกไปทางถนน มองไปฝั่งตรงข้างที่เป็นไซต์งานก่อสร้าง มีรถกาแฟ-น้ำหวานแบบสามล้อถีบ ขายอยู่ด้านหน้า คนงานยืนมุงกันซื้อเกือบสิบคน ด้วยบรรยากาศของช่วงฤดูหนาว ทำให้พระอาทิตย์ตกเร็วกว่าปกติ ลมเย็นพัดเอื่อย ๆ ไฟถนนก็เริ่มติดแล้ว ประกอบกับภาพแป๊ะแก่ ๆ ขายกาแฟรถถีบอยู่ ถึงมันเป็นเวลาเกือบหกโมงเย็น แต่กลับทำให้ผมนึกถึงช่วงเช้าเมื่อครั้งตอนเรียน ป.ห้า
สภาพบรรยากาศรอบๆ พาอารมณ์ผมย้อนยุคไปแบบไม่มีเหตุผล...
ย้อนไปตอนนั้น ทุก ๆเช้า ลมหนาวซึ่งเสื้อกันหนาวตัวบางๆของผมไม่สามารถป้องกันความเย็นยะเยือกให้ กระทบผิวได้ ลมที่พัดแรงและติดต่อกันเป็นเวลานับเดือน เป็นฤดูหนาวที่แท้จริงซึ่งต่างจากปัจจุบัน
เป็นกิจประจำที่ผมต้องออกไปซื้อกาแฟกับปาท่องโก๋ให้พ่อ ก่อนที่ผมจะเดินไปโรงเรียนเป็นประจำ "ชาร้อนใส่หางกาแฟ"เป็นเมนูกาแฟที่พ่อดื่มประจำ ที่ร้านซึ่งคนขายเป็นอาแป๊ะแก่ ๆ เหมือนกับที่ผมมองดูอยู่ที่ฝั่งตรงข้าม
ตาปั้ง..เป็นชื่อเรียกติดปากของคนแถวนั้น บ้านตาปั้งเป็นบ้านไม้สองชั้น ตั้งอยู่ในซอย รุ่งเรือง 2 อยู่แถวบางนา ทุกวันแกจะเริ่มตั้งรถเข็นกาแฟหน้าร้านตั้งแต่ตีห้า กว่าจะเก็บร้านก็ช่วงเย็นประมาณสี่-ห้าโมงเย็น ตาปั้งเป็นคนที่ชงกาแฟได้เร็วมาก ไม่ว่าจะเป็น โอเลี้ยง โอยั้ว กาแฟเย็น กาแฟร้อน ชาเย็น หรือชาร้อนฯ แต่ละแก้ว ตาปั้งใช้เวลาไม่ถึงครึ่งนาทีแกก็สามารถส่งให้ลูกค้าได้ แถมฝีมือการชงการแฟของตาปั้งยังคงเส้นคงวาไม่มีตก ที่ผมรู้นี่ก็เพราะแอบชิมกาแฟของพ่ออยู่บ่อย ๆ เรียกว่าฝีมือตาปั้งนี่เข้าขั้นเทพ ตามภาษาสมัยนี้ที่นิยมใช้กัน
แล้วทุกเย็นหลังเลิกเรียน เวลาผมและเพื่อน ๆ เดินผ่านร้านตาปั้งเพื่อกลับบ้าน ถ้าเห็นแกยังอยู่ที่รถเข็นหน้าร้าน พวกผมก็ร้องเพลง ที่แต่งให้สำหรับแกโดยเฉพาะ
"ตาปั้งคอมพิวเตอร์ ชงกาแฟได้เร็วไว ตาปั้งคอมพิวเตอร์ ชงกาแฟเสร็จก่อนใคร
ตาปั้งคอมพิวเตอร์ ชงกาแฟอร่อยถูกใจ ชงกาแฟได้เร็วไว อร่อยถูกใจ ตาปั้งคอมพิวเตอร์"
ซึ่งถ้าตาปั้งอารมณ์ดีแกก็จะยืนยิ้ม ส่ายหัวตามจังหวะ แต่ถ้าวันไหนแกอารมณ์เสียแกก็จะไล่ให้ไปร้องไกล ๆพร้อมกับตักน้ำร้อนในหม้อสาดพวกผมเชิงขู่แบบยั้ง ๆ ไม่ให้โดน
ที่มาของเพลงนั้นก็มาจากยุคนั้นจะมีภาพยนต์เรื่อง"มนุษย์คอมพิวเตอร์"ที่ยอด ชาย เมฆวิเชียร เล่นเป็นพระเอก เป็นหนังแนววิทยาศาสตร์พิทักษ์โลกจากองค์กรร้าย ซึ่งเด็ก ๆจะชื่นชอบกันมาก คล้าย ๆกับ จัมโบ้เอ หรือ มนุษย์ไฟฟ้า อะไรเทือกนั้นของญี่ปุ่น
เมื่อผมเรียนขั้น ม.1 ผมก็ไม่ได้ไปซื้อกาแฟตาปั้งอีก เพราะต้องนั่งรถเมล์ไปโรงเรียน มารู้เรื่องของแกอีกที่ก็ตอนลูกชายแกที่เรียนมหา"ลัย เสียชีวิตเพราะกระโดดน้ำแล้วศีรษะไปกระแทกก้นบ่อ ซึ่งอันนี้เป็นเรื่องจริงหรือเพียงแค่ข่าวลือ ยังไม่รู้ แต่หลังจากนั้น ตาปั้งก็เลิกขายกาแฟ แล้วก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่อื่น
เสียงโทรศัพท์มือถือของผมดังขึ้น ทำให้ผมต้องสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เป็นเบอร์ของดีไซน์เนอร์ที่เคารพที่นัดผมให้มานั่งมาถึงสี่ชั่วโมงครึ่ง เสียงปลายสายขอโทษขอโพยผมเป็นการใหญ่ อ้างเรื่องว่าติดประชุมทำให้มาตามที่นัดไม่ได้ แถมทิ้งท้ายให้ผมมาใหม่วันรุ่งขึ้น ด้วยความที่ต้องดิ้นรนในเมืองหลวง ปากกัดตีนถีบ เพื่อต้องการสิ่งที่ดีขึ้นในชีวิต ทำให้ผมต้องยอมรับสภาพไป ได้แต่ตอบ "ครับ ๆ" "ได้ครับ" ไปตามเรื่อง ไม่โทษใครหรอกก็อยากได้เงินเค้านี่มันก็ต้องยอมกันไป ด้วยความเคารพ วันนั้นผมโคตรเซ็งเลย
เป็นอันว่า วันนั้นผมต้องกลับบ้านมือเปล่า ปล่อยทิ้งแก้วกาแฟที่ถูกผมดูดจนเกลี้ยงไว้เบื้องหลังอย่างเดียวดาย
นั่นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงประมาณเดือนนี้ของปีที่แล้ว มาถึงตอนนี้สภาพความเป็นมนุษย์เงินเดือนได้หายไป พร้อมกับความสบายใจเข้ามาแทนที่ ผมนั่งจิบเนสกาแฟ ชงกับน้ำตาล,คอฟฟี่เมต ผสมโกโก้ตรานางพยาบาลเล็กน้อย ด้วยฝีมือตัวเองแค่นี้ผมก็ดื่มด่ำกับความสุขของรสชาติกาแฟม๊อคค่าร้อน ท่ามกลางกลิ่นไอดินยามดื่มตอนเช้า หรือฟังเสียง จิ้งหรีดขับขานคลอยามดื่มตอนค่ำ แค่นี้มันก็สุขยิ่ง ยิ่งกว่าแสงสีในเมืองหลวงที่วูบวาบตระการตา ที่มีแต่การรีบเร่ง ที่ๆมีแต่ความไม่ใส่ใจกัน...ยิ่งนัก
จุลชีพ โจ๋
๑๓ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น