ยี่สิบวันพอดีๆที่ นังกี้ หรือ อีกี้ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตยามเมื่อผมอยู่ในวัดสามชุก มันเป็นลูกหมาไทยพันธุ์ทางเพศเมีย อายุตอนนี่ไม่แน่ชัดเพราะไม่พบสุติบัตรติดตัวมันมา แต่ถ้าดูจากอนาโตมี่แล้ว ก็น่าจะประมาณสองเดือน หน้าและสีขนมันจะเหมือนกับ อัลเซเชี่ยน..ผมคิดว่างั้นนะ เข้าใจว่าแม่ของมันคงไปพบรักกับหมาหนุ่มตาน้ำข้าว มันช่างเป็นการเสียดุลย์การค้าเสียจริง หรืออาจเป็นการถูกข่มเหงรักแกจากชาวต่างชาติโดยเธอไม่เต็มใจก็เป็นได้ แต่มันก็เป็นเรื่องหมาๆที่ติดเรท18+ คงต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจ ซึ่งเรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องไปตรวจ DNA เพื่อค้นหาความจริงกัน
อีกี้ ลูกหมาตัวเล็กๆแต่หูมันจะใหญ่เกินหมาคนในวัดก็เลยเรียกมันว่าแบ็ทแมนมั่งล่ะ นังหนูผีมั่งล่ะ กะว่ากันไป แต่มันก็คงยังดูดีกว่า อีหัก ที่หลวงตาคิดจะเรียก อันเนื่องมาจากปลายหางที่หักของมัน
เมื่อยี่สิบวันก่อน จำได้แม่นว่าวันนั้นฝนตกพรำๆน้ำเริ่มท่วมขังตามพื้นที่ลุ่มรอบๆวัดสามชุก ปกติทุกๆวัน หลังจากเลิกจากงานที่ไปช่วยหลวงตาซ่อมตู้บริจาค ผมจะเดินไปซื้อขนมที่ร้านค้าหน้าวัดเพื่อมาแจกบรรดาหมาวัดที่วิ่งเล่นอยู่ บริเวณนั้น วันนั้นเนื่องจากฝนตกมันจึงทำให้ผมออกไปไหนไม่ได้ กว่าจะเริ่มซาเม็ด..ปาเข้าไปเกือบทุ่ม
ระยะทางประมาณสามสิบเมตรจากหน้าวัดถึงร้านค้า ผมว่ามันเป็นการเดินทางที่ผมคิดว่าปลอดภัยที่สุดในชิวิต ถ้าตัดเรื่องสไนเปอร์ที่ดักซุ่มยิงจากระยะไกลกว่าหนึ่งกิโลเมตรขึ้นไป
ด้วยความจริงใจในการให้ การพูดคุยใกล้ชิด ไม่มีการโฟนอินจากต่างประเทศ การมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีโดยที่ไม่ต้องใช้เงินมากมาย ผมก็สามารถซื้อใจหมาวัดเป็นพวกได้ในเวลาไม่นาน ทำให้ในทุกๆวันผมสามารถเดินไปร้านค้าได้อย่างสง่าผ่าเผยโดยมี เหล่าเบส บอดี้การ์ดอีกห้าหกตัวเดินห้อมล้อมตัวผมไปตลอดการเดินทาง
ขนมขบเคี้ยวห่อละห้าบาทจะถูกแจกโดยพยายามให้เสมอภาคกันทุกๆตัว ไม่งั้นอาจมีการน้อยใจและจะเป็นการสร้างความแตกแยกในหมู่คณะได้
อีเกิน หมาวัดตัวเมีย (ถ้าสังเกตุ หมาวัดส่วนใหญ่จะเป็นตัวเมีย) เป็นหมาที่มีนิ้วตีนถึงยี่สิบสองนิ้ว มันเป็นหมาที่เลือกกิน มันเลยเป็นหมาที่ผอมๆจะเห็นซี่โครง ทั้งๆที่มันก้อได้กินอาหารเหมือนหมาทุกตัวในวัดแต่มันเลือกกิน มันจึงเป็นครูสอนผมในเรื่องของการใช้โอกาสที่มี ว่าควรใช้มันให้เต็มที่ไม่ควรปล่อยให้มันหลุดลอยไป..(จริงๆแล้ว ผมกะว่าจะใส่อีเกินในส่วนของเรื่องครู แต่เกรงว่า ครูหลายๆท่านที่กล่าวไว้จะเอาฝุ่นที่ปลายรองเท้ามาเจิมหน้าผมพร้อมรองเท้า ที่ยังไม่ถอดทันทีที่มีโอกาสได้เจอ)
อ่ะ...มาว่ากันต่อ มันเป็นเพราะ อีเกิน ไม่ยอมกินขนมที่ผมโยนให้ ทำให้ อีกี้ ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีชื่อและไม่รู้ได้เลยว่าตัวผู้หรือตัวเมีย แสดงตัวออกมารับประทานขนมชิ้นนั้นแทน อีเกิน
ด้วยความที่มันเป็นลูกหมาที่ผอมแห้งมากๆ ตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก เพราะก่อนหน้ามี้มันเข้าไปมุดนอนอยู่ใต้เตาตั้งหม้อก๋วยเตี๋ยวที่เจ้าของ ร้านต้องหยุดขายเพราะน้ำท่วมเพิงที่ขายของ
สภาพที่มันเดินเข้ามากระดิกหางแบบที่ใช้สะโพกแห้งๆของมันเป็นจุดหมุน ย่อหน้าลงต่ำ ยุงบินตามมันมานับสิบตัว แตะๆเดินหน้าก้าวถอยหลังก้าวเพราะความที่ไม่คุ้นกันสิ่งแปลกใหม่ในชีวิตมัน ทำให้ผมละทิ้งความเป็นประชาธิปไตย อธิปไตยและความเสมอภาคในสังคมหมาๆไปโดยสิ้นเชิง
...ขนมที่เหลือในมือสองถุงกว่าๆ จึงตกเป็นของ ลูกหมาน้อยไปโดยปริยาย...
ปล่อยให้บรรดา เดอะ เบส บอดี้การ์ด ของผมทำหน้าค้อนกันทั้งหมด ห้วงเวลานั้นผมลืมคิดไปเลยว่าเส้นทางที่เคยปลอดภัย อาจไม่ปลอดภัยไปแล้ว...และนี่ถ้ามีสไนเปอร์จริงๆ ผมคงโดนเก็บไปจริงๆแล้วก้ออาจเป็นได้
วันนั้นผมไม่สามารถจับลูกหมาได้เลย อาจด้วยความที่มันกลัวคนกอปรกับมีหมาตัวใหญ่อีกหลายตัวรอที่จะขย้ำมันด้วย ความริษยา เมื่อมันรู้ว่าได้กินขนมชิ้นสุดท้ายหมดแล้ว มันจึงรีบกลับไปนอนใต้เตาก๋วยเตี๋ยวตามเดิม
ผมจึงเดินจากมาด้วยความสงสารในใจ แต่คงยังทำอะไรไม่ได้ในตอนนั้น
...เหล่า เดอะ เบส บอดี้การ์ด เดินตามผมกลับมาที่วัดด้วยอารมณ์ไม่เหมือนกับตอนออกไป...ผมรู้สึกได้ทันที
คืนนั้น ผมกลับมาที่ห้องโดยทิ้งความกังวลไว้ที่ใต้เตาก๋วยเตี๋ยว พลางคิดในใจว่า คงไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวตอนเช้าค่อยไปดูมันอีกทีก็ได้ ด้วยอารมณ์ และบรรยากาศฝนพรำๆทั้งคืน จึงหยิบ กีตาร์เฟนเดอร์ เทเลคาสเตอร์ สีขาว ตัวเก่งของผมออกมาฮัมเพลง พร้อมจิบกาแฟไปพลาง เลยได้ท่อนฮุก ของเพลงหมาหน้าวัด ซึ่งจนป่านนี้ ยังไม่มีการแต่งเพิ่มอีกแต่อย่างใด
**ไม่ได้หวังอะไรไม่ได้คิดไปไกล ขอให้ได้อยู่ในเขตพัทสีมาได้แค่คิดพอเพียงไม่ได้หวังอะไร ขอแค่ได้อยู่ใต้กุฏิหลวงตา**(ซ้ำ**)
เพลงหมาๆที่อยากแต่ง แต่งให้คนกับผู้ด้อยโอกาส แต่งให้กับผู้ที่ทิ้งโอกาส แต่งสำหรับผู้ที่กำลังมองหาโอกาส และแต่งสำหรับผู้ที่อยากให้โอกาส
แต่ตอนนี้ วัตถุดิบ ยังน้อยเกินไป คงยังต้องทำตัวเป็นหมาอีกซักระยะ!!
ครานี้ ผ่านมาหก-เจ็ดเดือน..
ทุกวันนี้ อีกี้ในตอนนั้น ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็น อีตัวเล็ก ด้วยเนื่องจากพัฒนาการทางร่างกายมันน้อยมาก ยังคงมีเค้าโครงหมาฝรั่ง เพียงแต่ตัวมันเล็กมาก ทั้งๆที่มันกินอาหารมากกว่าหมาที่บ้านอีกสองตัว
มันจะทำหน้าที่เป็นบอดี้การ์ด ยามที่แม่ผมเดินไปทำบุญที่วัด ทั้งๆที่ระหว่างทางเดินไปวัดนั้นมีบรรดาหมาที่นอนเฝ้าหน้าบ้านเรียงรายตลอด สองข้างทาง จะเมื่อก่อน หมาจะเห่าแม่กับผม แต่มาตอนนี้..เป้าหมายคือ อีกี้(ผมติดเรียกมันว่าอีกี้)
ด้วยความที่มันเคยอยู่วัดหรือ ด้วยนิสัยส่วนตัวของมัน เวลาหมาตัวอื่นจะเข้ามารุมกัด มันจะนอนหงายท้อง ไม่สู้ กระดิกหาง แสดงความเป็นมิตรกับหมาเหล่านั้น..มันไม่เคยโดนกัด!!
แต่ถ้าเป็นตัวต่อตัวมันไม่เคยถอย..มันยอมเฉพาะหมาหมู่!!
หรือแม้กระทั่ง บรรดาหมารอบๆบ้านผม อีกี้ก็สามารถซื้อใจพวกมันได้หมด...หน้าบ้านผมก็เลยมีหมาอีกสี่-ห้าต้ว มาช่วยเฝ้าบ้านยามค่ำคืน
ต่างจาก อีเกิน หมาที่เลือกกินอาหาร ทั้งๆที่มันอยู่วัด มีอาหารมากมาย แต่มันก็เลือกที่จะกิน ข้าวที่หลวงตาตักให้ชามใหญ่ มันจะเล็มกินเพียงสิ่งที่ชอบ
บัดนี้ อีเกิน เหลือเพียงกระดูกที่ถูกฝังอยู่ข้างรั้ววัด ที่หลวงตาขุดฝังมันเมื่อสามเดือนก่อน...มันตายเพราะเลือกกิน เลือกที่จะทิ้งโอกาสที่จะอยู่รอด หรือ มันต้องการละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อที่จะ บรรลุนิพพาน ยามที่มันตาย..เรื่องนี้ไม่ได้ถามมันไว้ก่อนตาย??
***คนสอนคน คนสอนหมา หมาสอนคน มันก้อเป็น "สัจธรรมชาติ" ที่ผมไม่แยกคำ เพราะมันเป็นเรื่องเดียวกัน***
ธรรมชาติ เป็นครูที่ดีที่สุด สัญชาติญาณของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลก คือสัญชาติญาณของการเป็นนักเรียน ที่จะซึมซับเรียนรู้จาก"ครู"ที่ชื่อว่า ธรรมชาติ...
จุลชีพ โจ๋
๖ พ.ย. ๕๓/๑๙ พ.ค. ๕๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น