วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ยามเมื่อลมข้าวเบาพัดมา

ยามลมข้าวเบาเฝ้ามอง



              ใครจะคาดคิดว่าบ้านทุ่งไกลปืนเที่ยงแห่งนี้จะมีหญิงสาวแสนสวยจากเมืองหลวงมา ประดับแต้มแต่งให้ดูสดใส ด้วยที่กิิริยาท่าทางเรียบร้อยราวผ้าพับไว้ ผิวพรรณขาวนวล หน้าตาสะสวยราวกับนางเอกหนังไทย บ้านทุ่งกันดารผืนนี้จะเป็นที่ ๆเธอขออาสามาเป็นครูสอนในโรงเรียนประถมที่เก่าแสนเก่าไม่มีห้องแอร์ ไม่มีน้ำประปา ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเฉกเช่นในเมือง


             สาย ๆของวันหยุดสุดสัปดาห์ ถนนลูกรังบ้านทุ่งที่สองฝั่งทางเต็มไปด้วยต้นสะแก ถูกแต่งแต้มบรรยากาศให้สดใสด้วยครูสาวในชุดกระโปรงยาวลายดอกสีฉูดฉาด หมวกปีกกว้างที่ติดริบบิ้นกุหลาบแดงดอกใหญ่ ที่เดินออกมาจากบ้านพักครูหลังโรงเรียนอย่างไร้จุดหมาย รอยยิ้มที่มีให้กับเด็ก ๆที่เดินค่อย ๆย่องจ้องจับตัวกว่างเขาโค้งยาวตัวดำขลับเอาไปเล่นชนกัน มันช่างดูชื่นใจสำหรับผู้ที่พบเห็น แต่ถ้ามองเข้าไปในดวงตาของเธอแล้วจะเห็นแววตาที่สับสนหมองหม่นและกลัดกลุ้ม อยู่ลึก ๆ

             เสียงชาวบ้านร้องเล่นเพลงเกี่ยวข้าวกันอย่างสนุกสนานแว่วมาจากหัวถนนด้าน หน้าทำให้เธอรีบสาวเท้าเดินไปดู ดูในสิ่งที่ไม่สามารถหาได้ในเมืองหลงที่เธอจากมา..

             เมื่อเดินพ้นหัวถนน ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้ามันเป็นอะไรที่ช่างน่าสุขจิตยิ่งน้กสำหรับเธอ ปฐมบทแห่งการดำรงชีวิต ข้าว อาหารที่ยังชีพคนไทยมาช้านาน..

             ณ ลานดินกว้าง ชาวนากลุ่มใหญ่กำลังช่วยกันลงแขกนวดข้าว ผู้ชายสี่ห้าคนขมักขเม้นยกกำฟ่อนข้าวฟาดลงลานดินจนเมล็ดข้าวร่วงจนหมดแล้ว รีบหยิบกำข้าวฟ่อนใหม่มานวดต่อทันทีเพราะยังมีกองข้าวอีกกองพะเนินท่วมหัว ที่ยังไม่ได้นวด ถัดออกไปสาวน้อยสาวใหญ่ต่างก็ช่วยกันใช้ผากตักโกยข้าวขึ้นบนอากาศปล่อยให้ เป็นหน้าที่ของลมข้าวเบาพัดเศษฟางและข้าวเมล็ดลีบพัดปลิวออกไปคงไว้แต่ข้าว ที่เมล็ดสมบูรณ์ตกกองอยู่ตรงนั้นรอการขนย้ายไปเก็บไว้ในยุ้งฉาง

             เธอยืนมองภาพวิถีชาวบ้าน คนหนุ่มสาวต่างช่วยกันอย่างสนุกสนานขานรับกับจังหวะเพลงเกี่ยวข้าวด้นกลอนสด ของเหล่าผู้เฒ่าที่มาช่วยเลี้ยงหลาน ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่รอบ ๆลานข้าว บ้างก็ป้อนน้ำป้อนกล้วยบดให้กับเด็กที่ยังแบเบาะ มันเป็นภาพที่ทำให้สิ่งที่ค้างคาในใจพรั่งพรูออกมา ดันให้น้ำตาไหลคลอเบ้า พลางย้อนคิดถึงอดีตที่ตามติดตัวเธอไปทุกหนแห่ง...

             เมื่อครั้งที่เธอยังเรียนอยู่มัธยมปลาย ด้วยความที่ยังเด็กและอ่อนต่อโลกอันโสมม การที่จะมีคนรักจึงเป็นสิ่งที่ถวิลหาของสาวรุ่นเช่นเธอ..คล้องแขนเกี่ยวก้อย พากันไปเที่ยวสนุกสนานกันตามประสาคนหนุ่มสาว ด้วยใจที่เธอคิดว่าเขาจะเป็นชายคนเดียวที่จะครองชีวิตคู่ไปจนแก่เฒ่า จึงทำให้เธอยอมเสียความเป็นสาวให้กับเขา และด้วยความที่เธอยังไร้เดียงสานัก มันจึงเป็นเหตุให้เธอต้องทำแท้งเพราะเด็กในท้องที่เธอยอมเขาโดยไม่มีการป้อ งกัันแต่อย่างใด เป็นเหตุทำให้ชายคนที่เธอรักและยอมทุกอย่างได้ทิ้งเธอไปอย่างไม่ใยดี อารมณ์ที่ยังไม่อาจมีความยั้งคิด ประกอบกับฐานะทางบ้านที่มีหน้ามีตาในสังคม จึงเป็นการง่ายที่เธอจะทำผิดครั้งใหญ่ในชีวิต ซึ่งมันเป็นตราบาปที่เธอจำฝังใจตลอดทุกยามที่เธอเห็นภาพที่แม่และเด็กหยอก ล้อเล่นกันอย่างสนุกสนาน...น้ำตาเธอหลั่งไหลออกมาราวกับว่าจะไม่มีวัน เหือดแห้ง

             เธอยืนสะอื้นอยู่บนขอบคันถนนอยู่นาน นานจนชายหนุ่มที่กำลังนวดข้าวอยู่หันมามองเป็นระยะโดยที่เธอไม่รู้ตัว...

             แล้วเธอก็ต้องตื่นจากภวังค์ เมื่อว่าวตัวน้อยลอยมาตกอยู่ตรงหน้า "ครู ครู ขอโทษ ๆ ๆ" เสียงเด็กคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกล เธอหันไปมองทางต้นเสียงก็เห็น จุก เด็กนักเรียนชั้น ป.3 ที่เธอสอนอยู่ที่โรงเรียนกำลังม้วนเก็บเชือกว่าววิ่งมาหาเธอ

             " ครูมายืนตรงนี้ทำไม " เด็กน้อยถามแบบไม่มีหางเสียงตามประสาเด็กบ้านนอก

             " อ๋อ..ไม่มีอะไรจ้า ครูมายืนดูพวก จุก เล่นกันไงจ้ะ " ครูสาวตอบ พลางใช้นิ้วปาดน้ำตาที่ไหลอาบสองแก้ม

             " ดี ดี งั้นครูมาเล่นกับพวกหนูไม๊ " เด็กน้อยชวนครูค้วยความเดียงสา

             " จ้ะ " ครูสาวตอบอย่างไม่คิด พลางถอดหมวกและรองเท้าส้นสูงราคาหลายร้อยบาทวางไ้ว้บนถนนอย่างไม่กลัวหาย เธอก้มลงเก็บว่าวแล้ววิ่งด้วยเท้าที่เปล่าเปลือยนำหน้าเด็กน้อยลงไปที่ทุ่ง นาข้างลานข้าว หยอกล้อเล่นกับเหล่าลูกศิษย์ตัวน้อย ๆคิดในใจว่าเธอเองเป็นคน คนที่ต้องสั่งสอนเด็กน้อยเหล่านี้ให้เป็นคนดีเติบใหญ่ในสังคม ความจริงที่เธอเก็บงำไว้ในอดีตจะเอามาเป็นแรงผลักดันให้ตั้งใจที่จะทำอาชีพ ครูให้ดีที่สุดเพื่อที่จะไม่มีเหตุการณ์เช่นเดียวกับเธอในอดีตเกิดขึ้นกับ เหล่าเด็ก ๆที่เธอรักเยี่ยงลูก...ชดเชยสิ่งที่ผ่านมา

             น้ำตาที่ไหลอาบแก้มเมื่อสักครู่เหือดแห้งหายไปด้วยลมเย็นที่หอบพัดความสดชื่นกระทบหน้า

             ลมข้าวเบาที่พัดเอื่อย ๆกระทบตัวเธอ ปานเหมือนว่าได้พัดเอาเศษสิ่งที่ไม่ดีในใจเธอให้หลุดออกไป ถึงครานี้ถ้ามองลึกเข้าไปในดวงตาเธอ จะไม่เห็นแววตาที่หมองหม่นอีกต่อไป คงไว้เพียงความอ่อนโยนไร้เดียงสาเฉกเช่นเด็กน้อยในวัยเยาว์..เธอเล่นสนุกกับ เด็กน้อยราวกับว่าตัวเธอเองได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่ง ไม่มีความเสแสร้ง ไม่มีความอิจฉาริษยา แก่งแย่งชิงดีในท้องทุ่งที่เคยเหลืองอร่ามซึ่งบัดนี้ถึงเวลาเก็บเกี่ยวเมล็ด ทองสุกปลั่ง ท้องนาเหลือเพียงตอซังข้าวที่รอการเพาะกล้าผืนทองฉายแสงเหลืองเมื่อคราฝน หน้ามาเยือน

             ภาพที่เธอหยอกล้อเล่นกับเด็ก ๆถูกจับจ้องด้วยสายตาของชายหนุ่มคนเดิม เพียงคราวนี้เขายืนนิ่งชงักงันกับภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ภาพที่มีชีวิตแต่งแต้มสีสันให้กับท้องนาที่แห้งผากหลังการเก็บเกี่ยว จุดแต้มสีของนางฟ้ากับเสียงหัวเราะที่สดใสกังวาล มันสะกดให้เขาต้องมนต์ยืนนิ่งอมยิ้มกับภาพตรงหน้า สองมือที่กำฟ่อนข้าวค้างอยู่เหนือหัวเมล็ดข้าวที่ควรถูกสลัดด้วยการฟาดกำ ฟ่อนข้าวลงพื้นกลับร่วงกราวตกใส่เต็มตัวของชายหนุ่ม

             เสียงหัวเราะเฮฮาดังมาจากลานข้าวทำให้ครูสาวซึ่งบัดนี้เนื้อตัวเต็มไปด้วย เศษฟางข้าวต้องหันไปมอง สายตานับสิบคู่จับจ้องพุ่งเป้ามาที่เธอสลับกับชายหนุ่มซึ่งก้มหน้าอายม้วน รู้สึกตัวตื่นจากภวังค์หลังจากที่สบตากับครูสาวแสนสวยเมื่อยามเธอหันมาแว่บ แรก เธอรู้ได้ทันทีว่าเธอเป็นต้นเหตุแห่งเสียงหัวเราะเฮฮานั้น

             ถึงครานี้ใบหน้าที่ขาวอมฝาดเลือดของครูสาวกลับแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดด้วย ความอาย..เสียงหัวเราะเป่าปากยังคงดังต่อเนื่องและดังขึ้นทุกจังหวะที่ชาย หนุ่มถูกผลักจนเซมาทางครูสาว ท่าทางขืนตัวของหนุ่มชาวนาที่เขินอายไม่แพ้ครูสาวทำให้เป็นที่ขบขันของเหล่า ผู้เฒ่าผู้แก่ยิ่ง

             ความเขินอายของรักแรกพบ เกิดขึ้นในใจระหว่างหนุ่มบ้านนากับครูประชาบาลสาวจากเมืองหลวง..เสียงเป่า ปากเฮฮายังดังต่อไป และเมื่อถึงที่สุดแห่งความเขินอาย หญิงสาวชาวกรุงจำต้องหลีกหนีจากที่ตรงนั้น..ครูสาวนึกในใจพลางเดินจ้ำใช้สอง มือปัดเศษฟางข้าวที่ติดเสื้อผ้าแก้เขินรีบไปหยิิบหมวกกับรองเท้าส้นสูงคู่ สวยเดินถือกลับบ้านพักครูในทันที ที่ให้หนุ่มบ้านนายืนชะเง้อมองตามด้วยความอาวรณ์

             ปฐมบทความรักแห่งท้องทุ่งบ้านนากำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า...ยามเมื่อลมข้าวเบาพัดมา

                                   ..................................................

             ผ่านไปสี่สิบกว่าปีที่นับตั้งแต่วันที่ลมข้าวเบาแรกพัดความขมขื่นใจของครู สาวไปจนหมดสิ้น มาบัดนี้บ้านทุ่งที่เก่าได้เป็นที่ ๆครูสาวเมื่อครั้งกระโน้นใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับหนุ่มชาวนาผู้ขี้อายกันมาจนแก่ เฒ่า แม้สังขารจะร่วงโรยไปตามกาลแต่ความรักที่มีต่อกันนั้นยังไม่เสื่อมคลาย

             เหตุแห่งความผิดแต่ครั้งเยาว์วัยของเธอ ทำให้เธอไม่สามารถมีลูกไว้สืบสกุลได้ แต่มันไม่ใช่ปัญาหาสำหรับเธอเพราะบรรดาลูกศิษย์ตัวเล็ก ๆในตอนนั้น ต่างก็เติบใหญ่เป็นคนดีรับใช้กันแทบทั้งสิ้น

             สองตายายในบ้านอันสงบสุข มีพืชสวนปลูกไว้เก็บกิน เลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่เก็บไข่มาทำอาหาร ขุดบ่อเลี้ยงปลาเล็ก ๆไว้หลังบ้านจะจับมากินบ้างก็ตอนมีงานรื่นเริงยามเหล่าลูกศิษย์แวะมาเยี่ยม เคารพ

             และแล้วน้ำตาของเธอก็ไหลพรากอีกคำรบหนึ่ง จากข่าวที่ประโคมผ่านสื่อต่าง ๆ เหตุการณ์พบศพทารกที่เกิดจากการทำแท้งกว่า 2,000 ศพ มันกระตุ้นเตือนจิตใต้สำนึกเธอให้หวลคิดถึงความผิดพลาดแต่หนหลัง ทั้ง ๆที่เธอได้ชดเชยความผิดครั้งนั้นด้วยการสร้างคนที่ดีให้เกิดในสังคมจนนับไม่ ถ้วน...น้ำตาแห่งความเศร้าใจหลั่งไหลออกมาอีกครั้งหนึ่ง

             ความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นในสังคมยังมีให้เห็นอยู่อย่างต่อเนื่อง สองตายายก็ได้แค่โอบไหล่ปลอบประโลมกัน พลางคิดว่าถ้าทุกคนไม่ร่วมกันสร้างสังคมให้พอเพียงในการใช้ชีวต กิเลสตัณหาราคะ มันก็จะยังวนเวียนอยู่ในทุกชั่วรุ่นอายุคน การทำผิดที่เกิดจากความมักมากในกามารมณ์ย่อมเกิดขึ้นตลอดเวลา...น้ำตายังไหล อย่างไม่ขาดสาย

             สองตายายยืนมองท้องทุ่งซึ่งบัดนี้ข้าวเต็มนาเหลืองทองสุกปลั่งสุดสายตารอการ เก็บเกี่ยว วิถีชนบทยังคงดำเนินไปตามครรลองของมัน เรียบง่ายไม่สับสนวุ่นวายเช่นเมืองกรุง มันช่างเป็นแดนสวรรค์สำหรับผู้ที่รักความสงบโดยแท้...ลมเย็นพัดจากทิศตะวัน ออกเฉียงเหนือพัดมากระทบใบหน้าครูเฒ่าจนรู้สึกหนาวสะท้าน

             ลมข้าวเบาครานี้มันช่างแสนเศร้านัก แม้จะเย็นสดชื่นอย่างไรมันก็ไม่พัดคราบน้ำตาแห่งความระทมใจกับข่าวที่เกิด ขึ้นในสังคมให้เหือดแห้งไปได้...มันช่างเป็นสองพันเงาในความมืดมิดไร้ซึ่ง แสงเสียจริง  สองพันชีวิตที่ไม่มีสิทธิ์โต้แย้งกับคำตัดสินว่าผิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ ก่อขึ้น...น้ำตาครูเฒ่ายังคงไหลมาอย่างต่อเนื่อง

             ลมข้าวเบาเอ๋ย จงช่วยพัดกิเลสตัณหาให้หมดไปจากสังคมนี้ด้วยเถิด...สองตายายรำพึง

             ยามนี้ช่างเศร้าใจและหมองหม่นยิ่งนัก...ยามเมื่อลมข้าวเบาพัดมา

                                                   .......................................................

จุลชีพ   โจ๋  (นามปากกา)..ครั้งแรก

๒๓  พฤศจิกายน  พ.ศ. ๒๕๕๓

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านจบแล้วมีความรู้สึก เศร้าปนสุข อย่างไงก้อมะรู้ค่ะพี่

    ตอบลบ